การปฏิบัติการทางอากาศเป็นยุทธวิธีสำคัญในสงคราม แต่ต้องอยู่ภายใต้หลักการของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (IHL) โดยมี 5 หลักการสำคัญที่เน้นการปกป้องพลเรือนและลดความเสียหายที่ไม่จำเป็น ได้แก่ การแบ่งแยก, การได้สัดส่วน, การใช้มาตรการระวังล่วงหน้า, การห้ามโจมตีแบบไม่เลือกเป้าหมาย, และความจำเป็นทางทหารและมนุษยธรรม หลักการเหล่านี้เป็นเครื่องมือสำคัญเพื่อให้การใช้กำลังทางอากาศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและถูกต้องตามหลักสากล
การปฏิบัติการทางอากาศภายใต้หลักกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ หัวใจสำคัญเพื่อการรบที่ชอบธรรม
การโจมตีทางอากาศ ถือเป็นหนึ่งในยุทธวิธีสำคัญของการทำสงครามในยุคปัจจุบัน แต่การใช้กำลังทางอากาศนั้นไม่ได้ปราศจากขีดจำกัด เพราะต้องอยู่ภายใต้กรอบของ กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (International Humanitarian Law: IHL) ซึ่งเป็นกฎหมายที่กำหนดขอบเขตของการทำสงคราม เพื่อลดความสูญเสียและปกป้องชีวิตผู้บริสุทธิ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พิธีสารเพิ่มเติม ฉบับที่ 1 แห่งอนุสัญญาเจนีวา (Additional Protocol I to the Geneva Conventions 1977) และกฎหมายจารีตประเพณี ได้วางหลักการสำคัญ 5 ข้อที่กองทัพทั่วโลกต้องยึดถือปฏิบัติ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการรบอย่างชอบธรรม



1. หลักการแบ่งแยก (Principle of Distinction)
หลักการพื้นฐานที่สำคัญที่สุดคือการ แบ่งแยก อย่างชัดเจนระหว่างเป้าหมายทางทหารและพลเรือน การโจมตีต้องมุ่งเป้าไปที่เป้าหมายทางทหารเท่านั้น เช่น ฐานทัพ คลังอาวุธ หรือศูนย์บัญชาการ การโจมตีโดยเจตนาต่อพลเรือนหรือสถานที่พลเรือน เช่น บ้านเรือน โรงพยาบาล หรือโรงเรียน ถือเป็นอาชญากรรมสงครามอย่างร้ายแรง หลักการนี้เป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้มั่นใจว่าการโจมตีจะไม่ทำร้ายผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสู้รบโดยตรง
2. หลักการได้สัดส่วน (Principle of Proportionality)
แม้เป้าหมายจะเป็นทางทหาร แต่การโจมตีก็ต้องอยู่ภายใต้หลัก ความได้สัดส่วน นั่นคือ ความเสียหายต่อพลเรือนหรือทรัพย์สินพลเรือนที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ต้องไม่มากเกินไปเมื่อเทียบกับความได้เปรียบทางทหารที่จะได้รับ ตัวอย่างเช่น หากศูนย์บัญชาการทหารตั้งอยู่ในพื้นที่ชุมชนที่หนาแน่น กองทัพต้องประเมินอย่างรอบคอบว่าผลประโยชน์ทางทหารจากการโจมตีนั้นคุ้มค่าหรือไม่ เมื่อเทียบกับความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินของพลเรือนที่อาจเกิดขึ้น การละเลยหลักการนี้อาจนำไปสู่การสังหารหมู่โดยไม่จำเป็น
3. หลักการใช้มาตรการระวังล่วงหน้า (Principle of Precaution)
ก่อนการโจมตีทุกครั้ง กองทัพต้องใช้มาตรการ ระวังล่วงหน้า อย่างเต็มที่เพื่อลดความเสี่ยงต่อพลเรือนให้มากที่สุด มาตรการนี้รวมถึงการ เลือกใช้อาวุธ วิธีการ และช่วงเวลาในการโจมตี ที่จะลดผลกระทบต่อพลเรือนให้เหลือน้อยที่สุด และที่สำคัญคือต้องมีการ แจ้งเตือนล่วงหน้า (effective advance warning) แก่พลเรือนหากทำได้ เพื่อให้พวกเขามีโอกาสอพยพออกจากพื้นที่อันตราย
4. หลักการห้ามโจมตีแบบไม่เลือกเป้าหมาย (Prohibition of Indiscriminate Attacks)
หลักการนี้ห้ามใช้วิธีการโจมตีหรืออาวุธที่ ไม่สามารถจำกัดผลกระทบได้เฉพาะเจาะจงกับเป้าหมายทางทหาร ตัวอย่างเช่น การทิ้งระเบิดในพื้นที่ที่พลเรือนและทหารปะปนกันอย่างหนาแน่นโดยไม่มีการจำแนก หรือการใช้อาวุธที่มีรัศมีการทำลายล้างกว้างและไม่สามารถควบคุมได้ ถือเป็นการละเมิดหลักการนี้ เพราะเป็นการกระทำที่ไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของพลเรือน
5. หลักการความจำเป็นทางทหารและมนุษยธรรม (Military Necessity & Humanity)
หลักการสุดท้ายคือการสร้างสมดุลระหว่าง ความจำเป็นทางทหาร และ มนุษยธรรม การใช้กำลังต้องเป็นไปเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ทางทหารเท่านั้น และต้องไม่ก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานโดยไม่จำเป็น กองทัพต้องเลือกวิธีการที่ทำให้ภารกิจสำเร็จได้ โดยยังคงให้ความสำคัญกับการคุ้มครองชีวิตพลเรือน และหลีกเลี่ยงการทำร้ายผู้ที่ไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้งในสงคราม
การปฏิบัติตามหลักการเหล่านี้ไม่ได้หมายถึงการทำให้กองทัพอ่อนแอลง แต่เป็นการแสดงให้เห็นถึง ความรับผิดชอบและความเป็นมืออาชีพ ในฐานะกองทัพของรัฐที่เคารพกฎหมายระหว่างประเทศ หลักการทั้ง 5 ข้อนี้จึงเป็นเสมือนเข็มทิศนำทางให้กับการปฏิบัติการทางอากาศ เพื่อให้มั่นใจว่าทุกปฏิบัติการเป็นไปอย่างมีเหตุผล ชอบธรรม และคำนึงถึงชีวิตของผู้บริสุทธิ์เป็นสำคัญ
#กองทัพอากาศ #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #TeamThailand #TruthFromThailand